คำกล่าวนำเว็บบอร์ด
คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เว็บบอร์ด
หลวงปู่กล่าวพึงเจริญสมาธิแลปัญญาให้มีกำลังเป็นคู่กันไป |
ในหนังสือฝึกหัดสมาธิโดยบริกรรมพุทโธ ท่านกล่าวว่า....... สมาธิเป็นกำลังสำคัญ ถ้าไม่มีสมาธิแล้ววิปัสสนาจะเอากำลังมาจากไหน
ปัญญาวิปัสสนามิใช่เป็นของจะพึงแต่งเอาได้เมื่อไรแต่เกิดจากสมาธิที่หัดได้ชำนิชำนาญ มั่นคงดีแล้วต่างหาก มีความเห็นแจ่มแจ้งชัดเจนในรูปแบบและนามธรรม ภายนอกและภายใน รวมลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกอันนี้ทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียว แล้วมองเห็นชัดเจนอยู่ในที่เดียว จนไม่มีกังขาสงสัยในธรรมแลในโลกอันนี้ทั้งหมดแล้ว จิต จะรวมเข้ามาเป็นหนึ่ง สิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง แล้วอยู่วิเวกในธรรมทั้งปวง จิตอันนั้นจะเกิดขึ้น แก่นักปฏิบัติในขณะหนึ่ง แล้วก็ถอนออกมา ในขณะจิตนั้นในทางธรรมที่เรียกว่า เอกาภิสมัย แต่เมื่อถอนออกมาแล้ว แม้อยู่ในอริยาบถใดก็ตาม จะมีแต่ความสงบสุข พิจารณาในธรรม เห็นเป็นพระไตรลักษณ์ไปทั้งหมด เห็นมนุษย์ชาวโลกพร้อมทั้งตัวเรานี้เกิดมาแล้วมีแต่มัวเมา ด้วยสิ่งที่หาสาระไม่ได้ เหมือนกับเด็กกุมารีเห็นดอกไม้บานร่วงโรยลงมาก็พาเก็บเอาๆ เมื่อ ดอกไม้เหี่ยวแห้งแล้ว ก็พากันเอาไปเททิ้งเสียฉะนั้น แล้วสังเวชสลดใจในความเป็นอยู่ของมนุษย์ ชาวโลกนี้เป็นกำลัง
ปัญญาวิปัสสนานี้เข้าถึงองค์อริยมรรคได้ ทำมรรคปหานตามกำลังของวิปัสสนานั้นๆ ในมรรคนั้นๆ เมื่อทำมรรคปหาน ต้องทำกิเลสให้อยู่ในที่เดียว แล้วจิตจะต้องรวมเป็นหนึ่ง จึงทำมรรคปหานในขณะจิตเดียว เรียกว่า เอกาภิสมัย ถอนออกมาแล้วจิตจะอยู่ด้วยธรรมเป็น อารมณ์ดังได้อธิบายมาแล้วแลจิตอันนั้นเมื่อทำจิตของตนสำเร็จแล้วก็มิได้กลับคืนมาทำกิจนั้นอีก ต่อไป ทำกิจหนเดียวแล้วก็หมดเรื่อง แต่ความเห็นนั้นยังชัดอยู่ตามเดิม แต่จิตนั้นไม่เป็นอย่าง เดิม เรียกง่ายๆ เรียกว่าอนุโลมตาม เหมือนกับความฝันของบุคคลผู้ฝันเห็นสวรรค์ นรก เมื่อ ตื่นแล้วนำเอาความฝันนั้นมาเล่าสู่คนอื่นฟัง ถึงจะเล่าได้ดีถี่ถ้วน แต่ก็ไม่เหมือนกับความฝันที่ ตนฝันเห็น ฉะนั้น
ไม่เหมือนวิปัสสนาญาณ ๙ วิปัสสนาญาณ ๙ เห็นแจ้งชัดด้วยสมาธิไม่มีกำลัง จึงเห็น กิเลสเป็นแต่อย่างๆ แลการเห็นก็ไม่เป็นเอกาภิสมัย จิตก็ไม่รวมลงเป็นมรรคสมังคี เหตุนั้น วิปัสสนาญาณ ๙ จึงสามารถให้เกิดวิปลาสได้ ผู้พิจารณาวิปัสสนาเห็นชัดแจ้งประจักษ์ในพระไตรลักษณ์ ด้วยเหตุผลและอุปมาอุปไมย แต่ขาดการทำสมาธิให้มั่นคงเป็นหลักฐานกิเลสสามารถเข้ามารุมล้อมปิดปังปัญญานั้นให้เสื่อมได้ เพราะความไม่เชื่อในใจของตนเอง เชื่อแต่เหตุผลอุปมาอุปไมยเท่านั้น ผู้ทำสมาธิเป็นแล้วแต่ ยังไม่มั่นคง พิจารณาวิปัสสนาเห็นชัดแจ้งประจักษ์ในพระไตรลักษณ์เหมือนกัน แต่เห็นเป็นบาง ส่วน เห็นเป็นบางกาลบางเวลา เมื่อกิเลสที่หนักหน่วงเข้ารุมล้อมอาจทำให้เสื่อมได้ แลอาจ ใช้อุบายแก้ไขตนเองได้บ้างบางครั้งบางคราว เพราะตนมีความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าว่า เป็นของดีจริง สามารถระงับกิเลสได้จริง แต่ที่ระงับกิเลสไม่ได้เพราะ อุบายของเราไม่ดี ผู้ทำสมาธิได้คล่องแคล่วชำนิชำนาญแล้วจะเข้ามาเมื่อไรก็ได้ จะออกเมื่อไรก็ได้ เมื่อกิเลสไม่ว่าหยาบหรือละเอียดเข้ามารุมล้อมก็จะไม่สามารถเข้ามาทำลายใจของตนได้ เพราะปัญญาวิปัสสนาของตนมีอำนาจอย่างนี้แล้ว พึงเจริญสมาธิแลปัญญาให้มีกำลังเป็นคู่กัน ไป เหมือนกับโคเทียมเกวียนมีกำลังเท่าๆ กัน จึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้
ผู้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสของตนทั้งหลาย ท่านย่อมอยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างนี้ แล้วก็ ไม่มีวันเสื่อมด้วย เมื่อตนอยู่ในอัตภาพเช่นใด ในคณะใด หมู่ใด ก็จะมีแยบคายเฉพาะตน ไม่ทำตนให้เป็นที่รังเกียจของหมู่คณะใดๆ ทั้งสิ้น
|
โดย ลูกศิษย์วัด เบอร์โทรศัพท์. 0894489501 2013-02-08 16:41:38 [IP : 125.24.104.xxx] |
|